top of page

กรณีศึกษา

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีในยางพารา

ยางพารา.png

ดินปลูกยางพาราของประเทศไทยส่วนใหญ่มีปริมาณอินทรีย์วัตถุในดินอยู่ในระดับต่ำ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณอินทรีย์วัตถุในดินต่ำกว่าดินในภาคใต้ ซึ่งมีผลทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดต่ำลง และมีแนวโน้มลดลงอีกเนื่องจากภูมิอากาศประเทศไทยเป็นเขตร้อนทำให้อัตราการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเวลาเดียวกันไม่ได้เพิ่มอินทรีย์วัตถุให้แก่ดินอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการขาดการปรับปรุงดินและการจัดการสวนยางอย่างถูกต้อง

ดังนั้นในเขตปลูกยางใหม่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือสถาบันวิจัยยางได้แนะนำให้ใช้ปุ๋ยเคมีทำให้ยาเจริญเติบโตเร็วโดยโดยแนะนำให้ใช้ร่วมกันกับปุ๋ยอินทรีย์โดยให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 5 กิโลกรัมต่อต้นร่วมกับปุ๋ยหินฟอสเฟตรองก้นหลุมปลูกยาง และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีตามอัตราแนะนำโดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้นต่อปีในปีที่หนึ่งหลังจากนั้นใส่ปุ๋ยอินทรีย์ตรา 2 กิโลกรัมต่อต้นต่อปีในปีที่ 2 ถึง 6

ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ปีละครั้ง บริเวณทรงพุ่มของใบยางให้คลุกเคล้ากับดินก่อนใส่ปุ๋ยเคมีประมาณ 10 ห้าถึง 20 วัน เพื่อปรับปรุงสภาพดิน อย่างไรก็ตามสวนยางในเขตปลูกยางเดิมที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1% จำเป็นต้องปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีในอัตราที่แนะนำเช่นเดียวกันและสำหรับดินที่มีปริมาณอินทรีย์วัตถุสูงกว่า 1% และมีปริมาณธาตุอาหารในดินเพียงพอการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะเป็นหนทางในการลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ร้อยละ 25

ประโยชน์และคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์กทม. ต่อการใช้ในพืชยางพารา

  1. ปริมาณน้ำยางและเปอร์เซ็นต์น้ำยางเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า 30%

  2. หน้ายางนิ่มขึ้น ช่วยแก้ปัญหายางหน้าตาย

  3. รากฝอยขึ้นหนาเนื่องจากดินร่วนซุย

  4. ต้นยางพาราโตเร็วใบเขียวเข้มแข็งแรง

  5. สามารถกรีดยางต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลานานขึ้น

ตารางอัตราและวิธีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์กทม. สำหรับยางพารา

ตารางยางพารา.png

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์สำหรับ ปาล์มน้ำมัน

ปาล์มน้ำมัน.png

หมายเหตุ ถ้าต้องการให้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. ให้ผลผลิตสูงสุดต้องหว่านปุ๋ยอินทรีย์กทม. รอบรอบโคนต้นโดยให้ปุ๋ยกระจายทั่วๆ และห้ามเทกองปุ๋ยไว้ตรงโคนต้นไม้ เนื่องจากต้นไม้จะดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดีพอ จากนั้นให้รดน้ำตามทันที เพราะน้ำเป็นตัวนำพาสารอาหารจากปุ๋ยอินทรีย์กทม. ไปสู่รากของต้นพืช น้ำจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พืชได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่

ตารางอัตราและวิธีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์กทม. สำหรับปาล์มน้ำมัน

ตาราง ปาล์มน้ำมัน.png

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ กทม. กับทุเรียน

กรณีศึกษา ทุเรียน.png

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์สำหรับ นาข้าว

อัตราและวิธีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. กับนาข้าว

  1. ใช้ในขณะเตรียมดินก่อนปลูก  แนะนำให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยอินทรีย์กทม. ในอัตราส่วน 200 กิโลกรัมต่อไร่ไถกลบขณะเตรียมดินก่อนปลูกข้าวสองถึงสามสัปดาห์เพื่อให้เวลาปุ๋ยอินทรีย์ย่อยสลายลงในดินก่อนการหว่านหรือปักดำ

  2. ใช้หลังจากปลูกต้นข้าวเรียบร้อยแล้ว  แนะนำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. หว่านโดยรอบนาข้าวในอัตราส่วนดังนี้

ต้นข้าวอายุ 30 ถึง 40 วันใช้ปุ๋ยสี่กระสอบต่อไร่หรือ 160 กิโลกรัม 

อายุของต้นข้าว 60 ถึง 70 วันใช้ปุ๋ยสี่กระสอบต่อไร่หรือ 160 กิโลกรัม 

อายุของต้นข้าว 80 ถึง 90 วันใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. สี่กระสอบต่อไร่หรือ 160 กิโลกรัม

จากการทดลองนาข้าวที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. กับต้นข้าว ผลปรากฏว่าดินในนามีค่าความเป็นกรดด่างดีขึ้น ดินที่เสียกลับสมบูรณ์ต้นข้าวอวบและรวงข้าวแน่นขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น

ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์กทม. ต่อนาข้าว

  1. ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 

  2. ต้นข้าวอวดและรวงข้าวแน่น 

  3. ขายข้าวได้ราคาดี 

  4. ค่าความเป็นกรดเป็นด่างดินขึ้นดินที่เสียกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง 

  5. คืนธรรมชาติให้สมดุลช่วยลดปัญหาโลกร้อน

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. กับข้าวโพด

ใช้หวานรอบรอบแปลงปลูกให้ทั่วในอัตรา 250 ถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่  แล้วรถน้ำตามทันที

ผลจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. กับข้าวโพดพบว่าหลังการใส่ปุ๋ยในปริมาณ 250 กิโลกรัมต่อไร่แปลงที่ใส่ปุ๋ย กทม มีเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์กว่าในแหล่งที่ไม่ได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม.

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. กับมัันสำปะหลัง

  1. ใช้ขณะเตรียมแปลงปลูก  ให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่แล้วไถกลบก่อนปลูกมันสำปะหลัง

  2. ใช้ขณะปลูกมันสำปะหลัง  ให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์กทม. อัตรา 300 กิโลกรัมต่อไร่โดยว่านรอบแปลงที่ปลูกแล้วลดน้ำตามทันทีเพื่อให้ต้นมันสำปะหลังได้รับสารอาหารในทันที

bottom of page